บทความโดย Constructionblog เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564

.7 วัสดุก่อสร้างอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า

 

การจัดหาและผลิตวัสดุก่อสร้าง มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตามรายงานของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme, UNEP) รายงานว่ากว่า 40-50% ของวัตถุดิบทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจโลก ถูกนำไปใช้ในการผลิตส่วนประกอบของอาคารซึ่งมีผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การดำเนินการต่างๆ ในอุตสาหกรรมก่อสร้างมีบทบาทสำคัญ จึงนำมาสู่การใช้ 7 วัสดุก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน อันประกอบไปด้วย

 

1. คอนกรีตดัด (Bendable Concrete หรือ Engineered Cementitious Composite ,ECC)

เป็นคอนกรีตที่สามารถโค้งงอได้ โดยมีความทนทานต่อการดูดซับแรงกระแทกและทนต่อการแตกร้าวมากกว่าถึง 500 เท่า เนื่องจากมีส่วนประกอบของเส้นใยพอลิเมอร์ (polymer – derived fiber ) ความเหนียวทำให้วัสดุมีความยืดหยุ่น และแข็งแกร่งทนทานจากการที่คอนกรีตผสมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) ทำให้ลดต้นทุน เนื่องจากไม่ต้องบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมมากนัก ตัวอย่างของการใช้แผ่นพื้นเชื่อม ECC ในส่วนต่อขยายถนนสะพาน (Bridge Deck)มิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 10 ปีโดยไม่ต้องบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมเลย

 

2. ไม้แปรรูป (Mass Timber)

ไม้แปรรูปจำนวนมาก สร้างขึ้นด้วยนวัตกรรมการเชื่อมไม้เนื้ออ่อนหลายชนิดเข้าด้วยกัน สร้างเป็นไม้สำเร็จรูปขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี ได้แก่ cross-laminated timber (CLT), laminated strand lumber (LSL), laminated veneer lumber (LVL), nail-laminated timber (NLT) และ glue-laminated timber (GLT) ซึ่งไม้แปรรูปดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกา สำหรับการก่อสร้างหลังคา, พื้น, คาน, เสา และส่วนอื่น ๆ

ในด้านความยั่งยืนนั้น ไม้แปรรูปสามารถทดแทนวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิม เช่น เหล็กและคอนกรีต ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างการผลิตสูงกว่า ยิ่งไปกว่านั้น อาคารที่สร้างด้วยไม้จำนวนมาก จะสร้างได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปล่อยของเสียน้อยลง, ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการได้มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น อาคารสำนักงานในเมือง Minneapolis โดยใช้หลักการ T3 คือ Timber, Technology และ Transit) โดยโครงสร้างใช้ไม้แปรรูป ออกแบบให้เป็นอาคารที่มีประสิทธิภาพสูงที่สามารถตอบสนองต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้

 

3. วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ (Salvage Materials)

การนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่และการรีไซเคิลเป็นหลักการสำคัญของความยั่งยืนอย่างยาวนาน การรักษ์โลกด้วยการเลือกใช้วัสดุดังกล่าวในโครงการ ช่วยทำให้วัสดุก่อสร้างมีอายุการใช้งานอีกครั้ง และยังลดของเสียออกจากหลุมฝังกลบ นอกจากนี้การใช้วัสดุรีไซเคิลยังช่วยลดต้นทุน, ปรับปรุงภูมิทัศน์ และเอื้อต่อการใช้งานของอาคารอีกด้วย

Kendeda Building for Innovative Sustainable Design ที่ Georgia Tech โดย Jimmy Mitchell (ผู้จัดการโครงการ) เป็นตัวอย่างโครงการสีเขียวที่ใช้แผ่นหลังคาเก่าของ the Georgia Tech Alumni Association building เป็นกำแพงและพื้นของของห้องน้ำและห้องอาบน้ำของอาคารใหม่ นอกจากนี้เขายังใช้ไม้ที่ถูกพายุพัดทำลายภายในมหาวิทยาลัย เพื่อนำมาทำโต๊ะเคาน์เตอร์และม้านั่งภายในอาคาร Kendeda Building ในขณะเดียวกันไม้สนซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Tech Tower ก็ได้ถูกแปลงเป็นบันไดของอาคารใหม่

 

4. ไม้ไผ่ (Bamboo)

เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับวัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน ไม้ไผ่มีความยืดหยุ่นสูงสามารถใช้ทั้งงานโครงสร้างและงานตกแต่ง หาง่ายเพราะเป็นต้นไม้ที่เติบโตในทวีปทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้นไม้ไผ่ยังสร้างขยะน้อยมาก เพราะส่วนที่เหลือจากการใช้งานสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ โดยมีโรงแรม Tiing ในบาหลีเป็นตัวอย่างในการนำไม้ไผ่ผสมผสานกับคอนกรีต เพื่อสร้างผนังที่มีพื้นผิวกลมกลืนกับธรรมชาติ โดย Nic Brunsdon สถาปนิกผู้ออกแบบได้กล่าวว่า “ความสำคัญของโครงการนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำงานให้เข้ากับบริบทของท้องถิ่น, เทคนิคการก่อสร้าง, ทรัพยากรที่มีและสภาพอากาศเขตร้อนของภูมิภาค วัสดุที่ใช้ต้องง่ายต่อการทำความสะอาดและบำรุงรักษา ขณะเดียวกันต้องเกิดความกลมกลืนกันระหว่างลักษณะทางสถาปัตยกรรมและสถานที่"

 

5. เส้นใยของเห็ดรา (Mycelium)

Mycelium เป็นโครงสร้างของเห็ดราที่เมื่อตายแล้วจะมีความทนทานสูงและทนต่อการขึ้นรา, น้ำ และไฟ Mycelium เหมือนกับไม้ไผ่ที่ย่อยสลายได้ จึงทิ้งของเสียเพียงเล็กน้อยและแทบไม่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อรวมกับวัสดุอื่นๆ เช่น ไม้, ขี้เลื่อยและขยะจากการรื้อถอน รวมถึง Mycelium สามารถนำมาขึ้นรูปเป็นอิฐที่ใช้งานสร้าง อย่างไรก็ตาม Mycelium ไม่ได้ใช้อย่างแพร่หลายนัก

 

6. ชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete)

การผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) กระบวนต่างๆ จะถูกทำที่โรงงานไม่ว่าจะเป็นการเท, ผสมขึ้นรูปก่อนจะถูกขนส่งไปยังไซต์ ซึ่งต่างจากคอนกรีตที่หล่อในไซต์ (Cast Concrete) แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปมีความยั่งยืนกว่า เนื่องจากใช้พลังงานและวัสดุในกระบวนการผลิตน้อยกว่า ทั้งยังสามารถนำกระบวนการก่อสร้าง เช่น แม่พิมพ์ และรูปแบบต่างๆ กลับมาใช้ใหม่เป็นการลดของเสียได้ ตัวอย่างสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลก ได้แก่ เปลือกหอยบนหลังคาของ Sydney Opera House ประเทศออสเตรเลียที่ทำจากคอนกรีตสำเร็จรูป

 

7. คอนกรีตพิมพ์ 3 มิติ (3D Printed Concrete)

การพิมพ์ 3 มิติมีผลต่อการเพิ่มผลผลิตและความยั่งยืนในการก่อสร้างเป็นอย่างมาก การพิมพ์ 3 มิติทำให้สามารถออกแบบรูปทรงดิจิทัลและพิมพ์ออกมาได้จริง แตกต่างจากการก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่ต้องสูญเสียพลังงานในการขนส่งและผ่านกระบวนการต่างๆ ที่ซับซ้อน ความรวดเร็วดังกล่าวทำให้ประหยัดเวลา, เงิน และพลังงานของผู้ดำเนินการ สืบเนื่องจากแบบหล่อสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ จึงก่อให้เกิดของเสียน้อยลง โดยวิธีดังกล่าวนี้กำลังใช้ในการสร้างสะพานพิมพ์ 3 มิติที่ยาวที่สุดในโลก ณ เมือง Nijmegen ประเทศเนเธอร์แลนด์

จะเห็นได้ว่า มีแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนที่ค่อนข้างหลากหลายและให้ผู้ประกอบการได้เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน แต่วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นก็คือ การหาข้อมูล สำรวจ และทดสอบ เพื่อค้นพบว่าอะไรที่จะเหมาะสมที่สุดกับโครงการของคุณ

Link: https://constructionblog.autodesk.com/top-sustainable…/